58 จำนวนผู้เข้าชม |
Business During Trump
ธุรกิจไทยหลังนโยบายทรัมป์: เมื่อพายุเศรษฐกิจเริ่มต้นจากทำเนียบขาว
“วันนี้เราต้องเปลี่ยนสงครามทางการค้าเป็นสันติภาพทางการค้า จะไม่มีผู้แพ้ แต่โลกนี้จะเต็มไปด้วยผู้ชนะ”
– ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อต้นปี 2025 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลกและนโยบายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การชูแนวคิด “America First” กลับมาอีกครั้ง ทำให้หลายประเทศ—including ไทย—ต้องเร่งทบทวนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจอย่างเร่งด่วน
เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบและแนวทางรับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา “Business During Trump” เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 โดยเชิญ 3 คณาจารย์จากสายการเงิน การตลาด และธุรกิจระหว่างประเทศ มาร่วมไขรหัสสถานการณ์
ภาษีตอบโต้: จากดุลการค้าสู่แรงกดดันต่อ GDP
หนึ่งในนโยบายที่สร้างแรงกระเพื่อมมากที่สุดคือ Reciprocal Tariff หรือมาตรการภาษีตอบโต้ที่พุ่งเป้ามายังประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไทยโดยตรง
“ถ้าสหรัฐเก็บภาษีจากส่วนเกินดุลของไทย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านดอลลาร์ นั่นคือ 10% ของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว”
– ผศ.ดร.รัฐชัย ศีลาเจริญ (ภาคการเงิน)
ผลกระทบจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การส่งออก แต่ขยายไปถึงค่าเงินบาทที่ผันผวน พฤติกรรมนักลงทุนที่ถอยห่างจากตลาดหุ้น และภาคเอกชนที่เริ่มถือเงินสดเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง “Risk-Off” ที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นบรรยากาศหลักในตลาดโลก
การสร้างและรักษาแบรนด์ในโลกสองขั้ว
ด้านการตลาดไม่ได้รับผลกระทบแค่ด้านตัวเลข แต่รวมถึง “อารมณ์ของผู้บริโภค” ที่เริ่มมีลักษณะแบ่งขั้วชัดเจนในยุคโลกาภิวัตน์แบบย้อนกลับ
“ตอนนี้ลูกค้าไม่ได้แค่ซื้อของ แต่เลือก ‘ข้าง’ ไปด้วย แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับอเมริกาอาจได้เปรียบในบางกลุ่ม แต่ก็ถูกแบนในอีกกลุ่ม”
– ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล (ภาคการตลาด)
แบรนด์ในโลกสองขั้ว: แนวคิด A–B–C
แนวคิด “A–B–C” (America–Bipolar–Consistency) ถูกเสนอเป็นโมเดลรับมือ เพื่อวางกลยุทธ์แบรนด์ในตลาดที่ผู้บริโภคเปลี่ยนข้างง่าย และไวต่อสัญญะทางการเมือง
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล จากภาคการตลาด นำเสนอแนวคิด A–B–C เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้แรงกระเพื่อมทางการเมืองระหว่างประเทศ ดังนี้:
A – America: ความสัมพันธ์ของสินค้าและแบรนด์กับประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลโดยตรงต่อการรับรู้ของลูกค้า ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบ สินค้าที่ “Made in USA” หรือเกี่ยวข้องกับอเมริกาอาจได้รับความนิยมในบางตลาด แต่ก็อาจถูกต่อต้านในบางประเทศที่มองว่าสหรัฐเป็นฝ่ายกดขี่
B – Bipolar Customers: จากเดิมที่ลูกค้าแบ่งเป็นกลุ่มที่ชอบและไม่สนใจ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “รักเลย” หรือ “เกลียดเลย” ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับแบรนด์ที่คลุมเครือ สื่อสังคมทำให้เสียงวิจารณ์กระจายอย่างรวดเร็ว แบรนด์ต้องเลือกจุดยืนให้ชัดเจน
C – Consistency: ความสม่ำเสมอของแบรนด์ในระดับโลกคือความท้าทายสำคัญ แบรนด์จะสื่อสารอย่างไรให้ไม่ขัดกันในแต่ละประเทศ? หากตลาดหนึ่งเชียร์สหรัฐ อีกตลาดต่อต้านสหรัฐ แบรนด์จะวางตัวอย่างไรให้ไม่เสียความน่าเชื่อถือ?
“ทุกการสื่อสารของแบรนด์ต้องคิดเผื่อทั้งโลก ไม่ใช่แค่ประเทศเดียว” – ผศ.ดร.เอกก์
ย้อนกลับสู่พาณิชยนิยม: จาก WTO สู่เศรษฐกิจปิด
ในสายตาของนักธุรกิจระหว่างประเทศ การกลับมาของทรัมป์ไม่ได้หมายถึงแค่ภาษี แต่คือสัญญาณของ การถอยหลังของเศรษฐกิจโลก ไปสู่แนวคิดแบบศตวรรษที่ 16
“ถ้ามองในมุมอาจารย์ธุรกิจระหว่างประเทศ เราอาจจะไม่สามารถสอน WTO หรือ Free Trade แบบเดิมได้อีกต่อไป ต้องเปลี่ยนคำถามเป็น ‘ทำไม WTO ถึง fail?”
– รศ.ดร.สมชนก ภาสกรจรัส (ภาคพาณิชยศาสตร์)
ทรัมป์ผลักดันแนวคิด Mercantilism หรือ “พาณิชยนิยม” อย่างจริงจัง คือส่งออกให้เยอะ นำเข้าให้น้อย ใช้ของในประเทศเอง สนับสนุนแรงงานในประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ กลับเกิดคำถามว่า...จะเป็นไปได้ไหมในโลกที่ระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนคน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังอาจโดนเพ่งเล็งจากการที่สินค้า “Made in China” บางส่วนพยายามสวมสิทธิ์ผ่านไทย ทำให้เราต้องยืนระยะให้ดี และแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในสายตาสหรัฐฯ
ข้อเสนอสำหรับภาคธุรกิจไทย: อย่าทิ้งกันในวันที่ลำบาก
“ช่วงที่ลำบากเป็นเหมือนบททดสอบความสัมพันธ์ในระบบห่วงโซ่อุปทาน…อย่าทิ้งกันในช่วงที่ลำบาก เพราะเมื่อฟ้าสว่าง เรายังอยากทำธุรกิจไปด้วยกัน”
– รศ.ดร.สมชนก ภาสกรจรัส
ข้อเสนอหลัก ๆ สำหรับภาคธุรกิจไทย ได้แก่:
1. ถือลมหายใจให้มั่นคง: นักลงทุนควรถือเงินสด ระวังการก่อหนี้ในระยะสั้น
2.ผู้ส่งออกควร “ทำให้ลูกค้า ‘ขาดเราไม่ได้’ แม้ราคาจะสูงขึ้น”
3.สำหรับแบรนด์ อย่าหยุดสร้าง “แม้คนอื่นจะหยุด” เพราะนี่อาจเป็นโอกาสให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นกว่าเดิมสองเท่า
บทสรุป: จาก American First สู่ Global First
ท้ายที่สุด ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร กล่าวเปิดงานอย่างกินใจว่า เป้าหมายของยุคนี้ไม่ใช่แค่การเป็น "Future Leader" แต่คือการเป็น "Globalization Citizen" พลเมืองโลกที่เข้าใจความหลากหลาย และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในเกมเศรษฐกิจ
“เราต้องมองว่าโลกนี้เป็นของคนทุกคน ไม่ใช่ของใครคนเดียว” – ศ.ดร.วิเลิศ